.
    เวลาเย็นแสงสีส้มสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างที่ถูกปิดอยู่ทางทิศตะวันตก เสียงปรกๆ ของการสับหมูดังอยู่เป็นระยะๆ ถี่บ้างผ่อนบ้างดั่งคนที่ไม่ค่อยได้ออกแรงเป็นประจำ หมูที่สับจึงหยาบไม่ค่อยละเอียดนัก หญิงสาวจับหมูที่สับแล้วพลิกอีกข้างแล้วบรรจงสับมันอีกครั้งหนึ่ง เธอสับไปพลางปาดเหงื่อที่ไหลรินลงมาเรื่อยๆ เวลาที่เธอลูบเหงื่อเธอก็จะทำปากซี๊ดตลอด เมื่อนิ้วมือเรียวงามของเธอสัมผัสผ่านแผลยาวบริเวณหน้าที่คล้ายรอยขีดเป็นทางยาวของของมีคม
    วันนี้เป็นเวลาผ่านไปครบหนึ่งเดือนเต็มที่สามีของเธอไม่ได้เดินทางกลับมาบ้าน แต่เธอรู้ว่าภายในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้เวลาที่เธอรอจะสิ้นสุดลง สามีอันเป็นที่รักของเธอจะมาปรากฏกายให้เธอเห็น ถึงเธอจะรู้ว่าการมาของสามีของเธอ จะไม่เป็นที่โปรดปรานของอีกฝ่ายหนึ่งก็ตามที เวลานี้เป็นเวลาห้าโมงครึ่ง เข็มยาวก็นาฬิกาชี้ตรงที่เลขหก พร้อมกับสัญญาณกริ๊งของไมโครเวฟที่บอกว่าแกงเขียวหวานปลากรายแช่แข็งที่เธอซื้อมาได้ละลายพร้อมสำหรับเสริฟแล้ว เธอยกมันออกมาด้วยมืออันระแวดระวังกลัวว่าความร้อนจะทำให้มันหกรดมือ แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญ เธอกลัวว่ามันจะเหลือปริมาณที่ลดน้อยลงไปมากกว่า
    ตอนนี้แกงเขียวหวานพร้อมแล้วที่โต๊ะ แต่เธอยังมีภารกิจอย่างอื่นที่ต้องจัดการกับกับข้าวอีกหลายอย่าง เธอจะต้องทำให้เสร็จก่อนหกโมงเย็น ก่อนที่พระอาทิตย์จะลับจากขอบฟ้าและเป็นเวลาที่สามีของเธอจะโผล่หน้ามาให้เห็น เธอหวังอย่างยิ่งที่จะได้เห็นรอยยิ้มจากสามีอันเป็นที่รักอีกครั้ง
    “ที่รักคะ เป็นอย่างไรบ้าง ทำงานมาเหนื่อยไหม” เธอยังคงวาดฝันคำพูดหวานๆ ที่เธออาจจะได้รับ เธอยิ้มอย่างมีความสุข ขณะหยิบกระทะออกจากตู้ด้านล่างของที่ล้างชาม
    “ปัง” เสียงดังอย่างรุนแรงกระทบที่ฝาผนัง ทำให้กระทะที่เธอหยิบออกมาหลุดมือแล้วดัง “โครม!”
    “ข้างห้องทำเสียงดังอีกแล้ว” เธอคิดพร้อมทั้งหยิบกระทะขึ้นตั้งบนเตา แล้วควานหาน้ำมันและเครื่องปรุงรสไว้ให้พร้อม จะได้ไม่ลุกลี้ลุกลนขณะที่ทำกับข้าว
    “ปัง” เสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยที่ว่าสถานที่หญิงสาวพักอยู่เป็นอพาตเมนท์เล็กๆ ที่อยู่ติดกันเสียงจากห้องนึงมักจะเล็ดลอดออกไปหาคนอีกห้องหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ หญิงสาวนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาของเธอ
    “เบาๆ หน่อยเถอะค่ะ ดนัย เดี๋ยวห้องข้างๆได้ยินนะ”
    “จะไปไรไปจ๊ะ ฤทัย จะไปสนใจทำไม เรากำลังมีความสุข เราก็ควรจะแสดงความสุขให้คนอื่นๆรับรู้นะ”
    “แต่ทัยไม่ชอบนี่คะ โอ๊ย มันเจ็บนะ” ดนัยขยำลงไปบนทรวงอกของฤทัยอย่างแรง ในจังหวะเดียวกับที่ฤทัยเขยิบหนี และดนัยก็ตามเอาปากไปประกบเพื่อให้เสียงของฤทัยเงียบลง
    ขณะนี้หญิงสาวเริ่มที่จะหั่นผักคะน้า เธอเด็ดใบที่เน่าเสียและเหี่ยวออก เธอนั่งมองดูหนอนที่เกาะกินใบคะน้า แล้วเขี่ยออกไปให้พ้นทาง  แล้วหลังจากนั้นเธอก็เริ่มที่จะหั่นผักคะน้าเป็นท่อนเล็กๆ ขนาดพอดีคำ เธอนึกไปว่าดนัยสามีของเธอชอบบ่นว่า “ไม่รู้จักหั่นผักให้พอดีปาก ดูสิ จะให้กินคำโตๆไปถึงไหน ใครจะไปกินลง นี่เห็นไหม ต้องปอกเปลือกให้หมดด้วย ไม่งั้นผักมันจะมีเสี้ยน สุดท้ายผมต้องคายทิ้งทุกที รสชาติก็พอใช้ได้ แต่คุณหั่นผักได้แย่มากๆ เอาล่ะ ผมว่าเราไปกินข้างนอกกันดีกว่า” แล้วก็ปล่อยให้อาหารยังคงวางอยู่บนโต๊ะเช่นเดิมขาดคนเหลียวแล
    “โอ๊ย” เสียงดังจากข้างห้องยังดังมาอีกครั้ง เป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงสาวกำลังปอกเปลือกผิวของแครอทด้วยมีดปลายแหลม และมีดได้กดจังหวะผิดพลาดลงบนผิวหนังอันบอบบางของเธอ ฤทัยรีบเอาปลายนิ้วมือที่ถูกบาดสัมผัสกับริมฝีปากและดูดเลือดที่ซึมไหลออกมาสักพัก เธอไม่ใส่ใจและเริ่มปอกเปลือกต่อ แล้วสายตาเธอก็เหลือบดูนาฬิกาด้วยความกระวนกระวายใจ ห้าโมงสี่สิบนาทีแล้ว
    กว่าฤทัยจะปลอกเปลือกและหั่นแครอทเป็นชิ้นพอดีคำ เวลาก็ปาไปล่วงเลยเหลือเพียงสิบห้านาทีก็จะหกโมงเย็น ฤทัยเดินไปเปิดแก๊สให้กระทะร้อน ไฟสีฟ้าถูกจุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เธอหยิบน้ำมันจากขวดเทลงไปในกระทะให้พอดี รอสักครู่จนกระทะร้อนพอมีไออ่อนๆของน้ำมันที่ร้อนขึ้นทุกขณะ ฤทัยเริ่มที่จะหยิบหมูที่เธอหั่นไว้ก่อนหน้าลงไปผัด กับกระเทียมที่เธอทุบจนแหลกไปก่อนหน้านี้ ตะหลิวถูกคนอย่างรวดเร็วพร้อมกับเทคะน้าและแครอทลงไปปรุงรสด้วยซ้อสและน้ำมันหอย ผักสุกเธอปิดแก๊สและเทลงใส่จาน
    “เพล้ง!” เสียงคล้ายชามตก ฤทัยหันไปมองบริเวณโต๊ะอาหาร แมวสีดำไม่รู้มาจากไหนกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะอาหาร เธอวางจานคะน้าน้ำมันหอยลง แล้วรีบเดินไปหาแมวดำตัวนั้น และไล่มันไปให้พ้นๆ
    “ชิ้วๆ ไปนะเจ้าแมวบ้า มาจากไหนออกไปเลย” แมวยังคงอยู่บนโต๊ะไม่สนใจกับเสียงที่เธอขู่ไล่นั้นเลย มันก้มลงเพื่อจะชิมแกงเขียวหวานที่อยู่ในชาม แมวยังคงก้าวอย่างช้าๆ เหมือนไม่ใส่ใจฤทัยเลย
    “โครม!” เสียงดังมาอีกครั้งจากห้องข้างๆ แต่มันดังพอให้เจ้าแมวดำเริ่มหดเท้าหนีห่างจากชามแกงเขียวหวาน และกระโดดห่างจากโต๊ะออกไปยังมุมห้องและขดตัวอยู่ตรงนั้นและไม่มีทีท่าออกมา
    ฤทัยหันกลับไปสนใจผัดคะน้าน้ำมันหอยของเธออีกครั้ง ฤทัยหยิบผัดผักคะน้ามารวมกันกับแกงเขียวหวานสักครู่ และเธอก็เริ่มทำอาหารอีกอย่างต่อไป
    “อีกอย่างนึงก็เสร็จแล้ว” ฤทัยเริ่มมองมาที่หมูสับที่สักครู่ใหญ่เธอเริ่มสับมันไว้อย่างหยาบๆ
    “ต้องเอาไข่ในตู้เย็นสักสองใบ” ฤทัยควานไปยังตู้เย็น แต่เวลานี้แสงสีส้มของเวลาเย็นเริ่มถูกดูดกลืนไปด้วยรัตติกาลค่อนข้างมากแล้ว ภายในห้องจึงค่อนข้างมืด แต่ฤทัยคุ้นเคยกับบรรยากาศแบบนี้เป็นอย่างดี เธอควานหาตู้เย็นอย่างคุ้นเคยและเปิดออกมา ไฟในตู้เย็นเสียไปนานแล้ว ภายในยิ่งมืดใหญ่เมื่อบวกกับเวลายามเย็น ด้วยแล้ว
    ฤทัยจัดแจงเอาไข่ตอกลงไปในชาม แล้วค่อยๆตีอย่างตั้งใจ และใส่หมูสับลงไปด้วยแล้วตีอีกสักพัก
    “โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว มันเจ็บ บอกว่าเจ็บ” คราวนี้เป็นเสียงที่ได้ยินจากข้างห้องและเป็นเสียงค่อนข้างดัง เหมือนคนกำลังเจ็บปวด ทำให้เธอนึกกลับไปยังวันเดิมอีกครั้ง
    “โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว มันเจ็บ บอกว่าเจ็บ” ดนัยยังคงดันฤทัยติดข้างฝา แล้วยัดตัวเองตามมาอย่างแรง ฤทัยได้แต่ร้องครวญคราง ที่ศีรษะของเธอเริ่มมีสีแดงสดไหลออกมา
    “มานี่” ดนัยจับผมฤทัยอีกครั้งแล้วก็เหวี่ยงลงไปบนเตียง ในมือของเค้าถือเชือกไนล่อนที่พันขดยาวประมาณหนึ่งเมตร
    “เพี้ยะ” เสียงเชือกที่ดังซวบซาบผ่านอากาศ สัมผัสลงบนแผ่นผิวด้านหลังของฤทัย ซ้ำแล้วซ้ำอีก เสียงคราวญครางอย่างสยองของเธอก็ยังดังลั่น น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลจนไม่อยากจะไหลแล้ว
    “ที่รัก เจ็บไหม” ดนัยวางเชือกลงแล้วเอามือลูบที่รอยเชือกที่นูนโป่งจนเห็นได้ชัดบนผิวหนัง ฤทัยแอ่นตัวร้องซี๊ดเมื่อมืออันหยาบกร้านสัมผัสผ่านไปมาบนแผลบนผิวหนังนั้น เสียงซี๊ดของฤทัยสร้างความกำหนัดให้ดนัยเพิ่มขึ้นทวีคูณ
    ฤทัยควานหาน้ำปลาลงใส่ในชามที่ตอกไข่และเริ่มไปสนใจกับกระทะที่ใช้ผัดคะน้าน้ำมันหอยสักครู่ เธอเปิดน้ำอย่างแรงเพื่อชำระล้างกระทะให้สะอาด เธอเปิดแก๊สอีกครั้ง ไฟสีฟ้าก็ลุกขึ้นอีกหน ฤทัยหยิบกระทะที่พึ่งล้างสะอาดสักครู่ตั้งบนไฟสีฟ้านั้น รอจนกระทะร้อนเธอจึงใส่น้ำมันอีกครั้ง และตามด้วยไข่ที่ใส่หมูสับนั้นแล้ว
    เธอกลับไข่เจียวขึ้นอีกฝั่ง กลิ่นหอมของมันลอยฟุ้งไปทั่วห้อง แต่แมวสีดำตัวนั้นก็ยังขดอยู่ที่มุมห้องไม่เคลื่อนไปไหน ฤทัยตักไข่เจียวนั้นขึ้นใส่จานแล้วเดินหยิบลงไว้บนโต๊ะ เธอเหลือบดูนาฬิกา อีกห้านาทีก็จะหกโมงแล้ว เวลาเหลืออีกไม่เยอะ เธอรีบขวนขวายไปเปิดหม้อหุงข้าวที่ขณะนี้อุ่นอยู่ในหม้อจนร้อนได้ที่ เธอตักข้าวใส่จานสองจาน แล้ววางไว้ข้างโต๊ะฝั่งละจาน แล้วเธอก็นั่งรอบนเก้าอี้อย่างใจจดใจจ่อรอเวลา
    “กรี๊ดดดด!” เสียงดังอย่างแรง ดังอีกครั้งจากข้างห้อง ก่อนที่จะดัง “ผลั๊กๆ” ติดกันสามสี่ครั้ง เสียงก็เงียบหายไป ด้วยความสงสัยเธอจึงคิดจะไปถามข้างห้องว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างรอสามีเธอกลับมา
    “ไม่เอาสิ เรื่องของชาวบ้านเราจะไปสนใจทำไม อีกอย่างสามีของเราก็ใกล้จะกลับมาแล้ว ถ้าเกิดเค้ากลับมาแล้วไม่เจอเรา” ฤทัยตัดสินใจดังนั้นจึงไม่ลุกจากเก้าอี้สายตายังคงจับจ้องที่อาหารสามอย่าง ซึ่งแต่ละอย่างเป็นอาหารที่ดนัยชอบแต่ไม่เคยแตะต้องเลยยกเว้นแกงเขียวหวานที่เพียงอุ่นให้ร้อน และพร้อมตักเสริฟ
    เสียงข้างห้องเงียบหายไปนาน แมวสีดำตัวนั้นตะกายที่ประตูห้องเพื่อที่จะพยายามออกไป ฤทัยจึงตัดสินใจว่า ไปเปิดประตูให้มันออกไปสักหน่อยคงไม่เป็นไร เธอมองนาฬิกาอีกครั้ง ขณะนี้เป็นเวลาหกโมงตรง ดนัยคงกำลังจะกลับมาแล้วสินะ หลังจากไม่ได้เจอกันเป็นเวลาหนึ่งเดือน
    “เอี๊ยดด” เสียงเปิดประตูดังลั่นเหมือนประตูที่ไม่เคยได้ใช้งานมานานที่สนิมขึ้นจนขัดประตูให้เปิดยาก แมวสีดำตัวนั้นรีบกระโจนออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วเหมือนกลัวอะไรสักอย่างที่ครอบงำ ฤทัยเดินออกไปนอกห้องจังหวะเดียวกับที่ห้องข้างๆเปิดประตูออกมาพร้อมๆกัน
    ชายคนหนึ่งแบกถุงพลาสติกสีดำขนาดใหญ่สองถุงไว้บนบ่า แม้เพียงจะเห็นเพียงด้านหลังฤทัยก็จำได้ทันทีว่านั่นเป็นแผ่นหลังอันคุ้นเคย เธอเคยโอบรัดอยู่เป็นประจำ เพราะเขาคือดนัยสามีของเธอนั่นเอง
    “คุณไปทำอะไรที่ข้างห้องคะ” ฤทัยร้องบอกสามีของเธอ แต่ดนัยกลับไม่สนใจ เดินลิ่วๆ ออกไปยังทางหนีไฟด้านข้างตึกอย่างรวดเร็ว ฤทัยวิ่งตามไปแต่ไม่ทันแล้ว ดนัยปิดประตูหนีไฟลงและเดินลงไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ฤทัยมองตามอย่างไร้จุดหมาย
    ฤทัยย้อนกลับไปยังห้องที่ดนัยเพิ่งออกมาเมื่อสักครู่ ประตูห้องยังคงไม่ได้ล็อค แสงไฟถูกปิดมืด แต่ด้วยความเคยชินในที่มืด ฤทัยก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ประทุเมื่อสักครู่ เชือกไนล่อนยังคงวางอยู่ที่เตียง ชามข้าวที่บรรจุผัดคะน้าน้ำมันหอยถูกเทกระจายตกแตกอยู่ที่พื้นห้อง ไข่เจียวละเลงอยู่บนที่นอน ฤทัยหันหลังกลับไปเหมือนคล้ายจะได้ยินเสียงบางอย่าง
    “เมี้ยว” เสียงแมวสีดำที่เธอปล่อยออกจากห้องเมื่อสักครู่นี่เอง มันก้มๆคุ้ยๆถุงอีกสองถุงที่กองอยู่ข้างมุมห้อง ฤทัยก้มมองไปยังปากถุงที่ยังปิดไม่มิด เธอสะดุ้งเพราะว่ามันคือเศษชิ้นส่วนที่ระบุได้ว่าเคยเป็นศีรษะและแขนคน เธอร้องกริ๊ดออกมาอย่างดัง แต่ก็ถูกปิดปากไม่ให้ร้องออกมาด้วยมือที่อยู่ข้างหลัง ฤทัยหันกลับมาด้วยความตกใจอีกรอบ
    “สวัสดี ไม่คิดว่าเราจะได้มาพบกันอีกครั้งนะ” เจ้าของมือเอ่ยทักฤทัย
    “ไม่เป็นไร ชั้นก็ไม่คิดว่าเธอจะมาอยู่สภาพเดียวกันกับชั้น ยินดีต้อนรับเพื่อนใหม่” แล้วฤทัยก็จูงมือเจ้าของศีรษะในถุงเข้าไปในห้องของตัวเองที่อยู่ข้างๆ เพื่อรับประทานอาหารด้วยกัน
   
เวลาเย็นๆ แสงสีส้มเริ่มสาดส่องเสียงสับหมูยังคงดังอยู่เป็นระยะ จนกระทั่งสิ้นแสงไปในเวลาหกโมงเย็น
ช่วยติดตามเรื่องอื่นของผมด้วยนะครับ
http://www.dek-d.com/entertain/view.php?id=94775 ความรักของพี่นั้น เฮ้อ
มีแต่ให้
http://www.dek-d.com/entertain/view.php?id=91844 สวิงกิ้ง
http://www.dek-d.com/entertain/view.php?id=9242 วันที่ผมหลงทาง(จากเจ้าของ)
http://www.dek-d.com/entertain/view.php?id=282 ทำไมนะทำไม ไม่รู้ใจตัวเองเสียที
http://www.dek-d.com/entertain/view.php?id=13440 พร 3 ข้อแด่เธอของฉัน
http://www.dek-d.com/entertain/view.php?id=792 X
http://www.dek-d.com/entertain/view.php?id=2025 เมื่อฉันตาย ความรักไม่ได้ตายตามไปด้วย
http://www.dek-d.com/entertain/view.php?id=10122  ดอกไม้วันวาเลนไทน์
http://www.dek-d.com/entertain/view.php?id=3673 ถ้าย้อนเวลากลับไปได้
http://www.dek-d.com/entertain/view.php?id=29 ดวงตาแห่งความรักกับเทพบุตรของฉัน
http://www.dek-d.com/entertain/view.php?id=31 สัญญาได้ไหม.. ว่าจะกลับมาอยู่ด้วยกัน
http://www.dek-d.com/entertain/view.php?id=423 เพิ่งเข้าใจ ความห่วงใยของแม่
.
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น